พาไปรู้จัก 3 ไอเท็มสุดฮิตในการรักษาสิวแบบไม่มีผลข้างเคียง ลดความกังวลว่าจะมีอาการแพ้ ผิวแห้ง ผิวแดงหรือผิวลอก ซึ่งเป็นอาการค้างเคียงจากการรักษาสิวที่หลายคนกังวล
สิ่งที่คนเป็นสิวอยากได้มากที่สุดก็คือครีมหรือยาที่ช่วยรักษาสิวให้ยุบเร็ว เพราะยิ่งรักษาสิวได้เร็วจะทำให้กลับมามั่นใจได้เร็วขึ้น แต่แน่นอนว่าการรักษาสิวแบบเร็วๆอาจจะมาพร้อมกับผลข้างเคียงที่อาจทำให้สิวเห่อ หน้าลอกได้ วันนี้เราจะมาดูว่าครีมรักษาสิวตัวไหนที่ให้ผลอย่างไรและมีผลข้างเคียงแบบไหนกันค่ะ เราจะไปเจาะลึกไอเท็มรักษาสิว 3 ตัวดังที่ใครหลายคนน่าจะเคยเห็นจากโซเชียล แต่ยังไม่รู้ว่ามันดีจริงไหม จะใช้ครีมรักษาสิวทั้ง 3 ตัวนี้ให้ถูกวิธีได้อย่างไร เมื่ออ่านจบแล้วจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าครีมรักษาสิวตัวไหนกันแน่ที่ช่วยรักษาสิวให้หายได้แบบไม่ต้องมาคอยกังวลว่าจะเกิดอาการผิวแพ้ ผิวแห้ง แดง หรือลอกและผลข้างเคียงอื่น ๆ ถ้าพร้อมแล้วเราไปดูรายละเอียดของครีมรักษาสิวทั้ง 3 ตัวกันเลยดีกว่าค่ะ
1. เรตินเอ 0.025% & 0.05% Retin-A เป็นยารักษาสิวที่หลายคนคุ้นเคยกันดีจากโลกโซเชียล รูปแบบของยารักษาสิว Retin-A มีให้เลือกหลายแบบ ซึ่ง Retin-A มีทั้งที่เป็นเนื้อครีมและเนื้อเจล และยังมีความเข้มข้นที่หลากหลาย สามารถเลือกใช้ได้ตามสภาพผิว และระดับความรุนแรงของปัญหาสิวของเราได้ค่ะ Cream: 0.025%, 0.05%, 0.1% Gel: 0.01%, 0.025% เค้าบอกว่า Retin-A เนี่ย ข้อดีของมันก็คือถ้าเราทาเฉพาะจุด มันจะช่วยให้สิวดีขึ้นได้เร็วกว่าตัวอื่น ๆ ค่ะ แต่ในส่วนข้อควรระวังของมันก็อาจจะเยอะหน่อย เมื่อทา Retin-A แล้วอาจจะรู้สึกระคายเคืองและแสบได้ จึงเหมาะกับทาเพื่อรักษาสิวเฉพาะจุดมากกว่า ยิ่งถ้าเป็นคนหน้าแห้งยิ่งไม่ควรทาทั่วหน้าค่ะ บางคนหน้าใช้แล้วหน้าลอกไม่แนะนำให้ใช้ต่อเนื่องกันนาน มันไวต่อแสงค่ะ บางคนอาจเคยได้รับคำแนะนำจากคุณหมอมาว่าไม่ให้ทาตัวนี้ตอนกลางวัน หรือถ้าทาก็ต้องตามด้วยครีมกันแดดเสมอ ห้ามใช้ร่วมกับยา BP ครีมที่มีฤทธิ์ลอกหน้าหรือผลัดเซลล์ผิวเช่นพวก AHA  ช่วงที่ใช้ Retin-A ต้องงดใช้เครื่องสำอางที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ โดยเฉพาะโทนเนอร์ทั้งหลาย ตรงไหนที่ผิวอักเสบอยู่ เช่น เป็นหัวสิวบวมแดง ห้ามทา Ratin-A เพราะจะยิ่งทำให้บริเวณนั้นระคายเคืองมากขึ้น ให้ทาด้วยยาฆ่าเชื้อเฉพาะที่จะดีกว่า  ข้อแนะนำการใช้: ควรใช้เฉพาะตอนกลางคืน หลังล้างหน้าและซับหน้าจนแห้งสนิทแล้ว เพราะถ้าหน้ายังชื้น ๆ อยู่เวลาทายาไปอาจทำให้ระคายเคืองมากขึ้นได้ บีบ Retin-A ออกจากหลอดสักขนาดเม็ดถั่วเขียว แต้มเฉพาะจุด ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเบา ๆ จนยาซึม ไม่มีคราบขาว ๆ เหลืออยู่ ถ้ายังไม่เคยใช้ยามาก่อน ให้ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำ แต่ถ้าใช้จนผิวปรับสภาพได้แล้วก็ทาทิ้งไว้ได้เลย
2. เบนแซค เอซี 5% ยาวิธีรักษาสิวตัวที่สองคือ Benzac AC ที่มีตัวยา Adapalene ที่หลายๆคนบอกว่ามันได้ผ่านการคิดค้นขึ้นมาเพื่อแก้จุดบกพร่องของ Retin-A ค่ะ มีหลายรูปแบบให้เลือกตามสภาพผิวหน้าของเราเหมือนกัน  Gel: 2.5%, 5%, 10% ยารักษาสิว Benzac AC มีความเข้มข้น 2.5% และความเข้มข้น 5% ต่างประเทศมีความเข้มข้นถึง 10% ซึ่งความเข้มข้นที่ว่า คือ ความเข้มข้นของ Benzoyl Peroxide ที่มีฤทธิ์ช่วยให้หัวสิวหลุดออกจากตุ่มสิว ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว ทำให้เชื้อไม่ไปรวมกับเซลล์ผิวที่ตายและไขมัน ทำให้รักษาและป้องกันการเกิดสิวหนองได้ ความสามารถในการรักษาสิวของมันโอเคมาก ๆ แต่เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลาและใช้ความยับยั้งใจและมือ ไม่งัด แงะ แกะ เกา ด้วยนะคะ มันมีความระคายเคืองต่ำ ทนต่อแสง ไม่มี Phototoxicity ไม่แรงมาก ใช้รักษาสิวได้เรื่อย ๆ แต่ระหว่างที่ใช้ก็ไม่ควรบีบสิวนะคะ บางคนใช้แล้วผิวใสขึ้น เพราะ Benzoyl Peroxide มีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิวด้วย แต่ก็ควรระวังเพราะบางคนใช้แล้วอาจทำให้ผิวแห้งหรือลอกค่ะ ยารักษาสิวประเภทนี้มีผลลัพธ์ในการใช้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยและสภาพผิวของแต่ละคนด้วยนะคะ เพราะเคยเห็นบางคนรีวิวว่าใช้แล้วมีสิวอักเสบเพิ่มขึ้น ไม่แนะนำให้ใช้ต่อเนื่อง และอย่าทิ้งไว้นานเกินไปเด็ดขาดเพราะจะทำให้แสบหน้าและระคายเคืองได้ สำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่ายควรระวังนิดนึง ไม่ควรใช้แบบ 5% และทิ้งไว้นานเพราะอาจแสบหน้าและทำให้หน้าแห้งได้ค่ะ แนะนำให้ใช้แบบ 2.5% จะระคายเคืองน้อยกว่า และทาทิ้งไว้ไม่เกิน 15 นาทีนะคะ ข้อแนะนำการใช้: ควรใช้ยารักษาสิวแบบนี้โดยเริ่มจากน้อยไปมาก ทั้งในเรื่องของความเข้มข้น ปริมาณการใช้ และเวลาที่ใช้ ให้หลีกเลี่ยงการทารอบๆดวงตา มุมจมูก รอบริมฝีปาก และผิวหนังบริเวณที่อ่อนโยน ถ้าใครกลัวใช้ยารักษาสิว Benzac Ac แล้วแพ้ กลัวแสบ แนะนำให้ทาทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วล้างออก ถ้าไม่แพ้ ไม่แสบ ครั้งต่อไปค่อยเพิ่มเวลา ปริมาณ และความเข้มข้นค่ะ
3. Eucerin Pro Acne Solution A.I. Clearing Treatment เนื้อครีมคล้าย ๆ เนื้อเจล สีขาวครีมแบบนี้ เนื้อครีมบางเบา เกลี่ยง่าย ซึมเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ เจลรักษาสิวตัวนี้จะแตกต่างไปจาก 2 ตัวด้านบนค่ะ เพราะมันคือเจลบำรุงผิวหน้าสูตรเข้มข้นที่เกิดขึ้นมาเพื่อรักษาสิว สิวอุดตันโดยเฉพาะเลย ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับยารักษาสิวแล้ว Eucerin อาจราคาสูงกว่าหน่อย แต่ก็คุ้มกว่าในเรื่องความเสี่ยงเพราะมันไม่ใช่ยาแต่เป็นสกินแคร์ ทาได้ทั่วหน้าค่ะ ที่สำคัญคือเรามั่นใจได้เลยว่าใช้แล้วจะปลอดภัย ไม่มีอาการแพ้ ไม่มีอาการข้างเคียงอย่างหน้าแห้งจนลอก หรือสิวขึ้นมาเพิ่มค่ะ เป็นทางเลือกที่ดีในการรักษาสิว ทางแบรนด์เคลมว่ามี Hydroxy Acid 10% เป็นการผสมผสานของสารในกลุ่มที่เข้าละลายหัวสิว ซึ่งใส่มาเข้มข้นถึง 10% ตัวนี้โดดเด่น แตกต่างจากสกินแคร์สำหรับลดสิวตัวอื่น ๆ ที่อาจใส่สารกลุ่มนี้เพียง 1-2% เท่านั้น ทำให้ทรีตเมนต์ตัวนี้จะช่วยสลายสิวอุดตัน และหัวสิวได้ใน 7 วัน ช่วยลดความมันในร่องรูขุมขน มีนวัตกรรม A.I. หรือที่ย่อมาจาก Anti-inflammatory จึงช่วยลดการอักเสบของผิว ในขณะที่ทำการรักษา ช่วยป้องกันการแสบ แดง ลอกของผิว ใช้แล้วไม่มีอาการแสบ แดง หรือผิวลอก ช่วยลดปัญหาผิวแห้งลอกจากการรักษาสิว ผ่านการพิสูจน์ทางการแพทย์ว่าไม่ทำให้แพ้ ไม่อุดตัน ไม่ทำให้เกิดสิว และไม่มีพาราเบน ข้อแนะนำการใช้: ทาเจลรักษาสิวให้ทั่วใบหน้าหลังล้างหน้าและซับหน้าจนแห้งแล้ว หลีกเลี่ยงรอบดวงตา มุมจมูก รอบริมฝีปาก และผิวหนังบริเวณที่อ่อนโยน เก็บผลิตภัณฑ์ไว้ในที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาค่ะ
สรุปไอเท็มรักษาสิวทั้ง 3 แบบ Retin-A, Benzac, Eucerin Pro Acne (เรียงจากบนมาล่าง) Retin-A, Benzac, Eucerin Pro Acne เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับรายละเอียดแบบเจาะลึกของทั้ง 3 ไอเท็มในการรักษาสิว แต่ละตัวก็มีข้อดี ข้อเสียต่างกันไปเนอะ และส่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับการเลือกใช้ยารักษาสิว คือ การเลือกให้หมาะกับสภาพผิวของเรา เลือกอันที่มีส่วนผสมอ่อนโยน ช่วยลดสิวได้แบบไม่ทำร้ายผิว และไม่มีผลข้างเคียง เช่น ทำให้หน้าระคายเคือง แห้ง แดง หรือลอกค่ะ สุดท้ายถ้าเลือกแบบที่ถูกใจได้แล้ว อย่าลืมใช้ยารักษาสิวให้ถูกวิธีเพื่อให้สิวหายอย่างปลอดภัยกันนะคะ